เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายกับรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นจากการชน เบรกไม่อยู่ หรือสิ่งของตกใส่ การประเมินความเสียหายก่อนตัดสินใจซ่อมถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง ถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และทำให้มั่นใจได้ว่าอู่ซ่อมหรือศูนย์บริการสามารถซ่อมได้ครบถ้วน บทความนี้จะนำเสนอ วิธีประเมินความเสียหายของรถก่อนซ่อม ตั้งแต่การตรวจเช็คเบื้องต้นจนถึงการใช้บริการช่างมืออาชีพ พร้อมเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
วิธีประเมินความเสียหายของรถก่อนซ่อม
หลายท่านเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนอาจสงสัยว่ารถเราถูกชนแบบนี้ถือว่าเสียหายระดับไหน แบบไหนถือว่าชนหนัก วันนี้ทางเรามีข้อมูลในการประเมินความเสียหายของรถเบื้องต้นก่อนนำรถเข้าซ่อมว่ารถของคุณมีความเสียหายระดับไหน โดยการชนนั้นแบ่งเป็น 5 ระดับ
1. การเฉี่ยวทั่วๆ ไป
การชนระดับนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายในระดับพื้นผิวเท่านั้น เช่นเกิดรอยขีดข่วน หรือบุบเล็กน้อย การซ่อมแซมก็มักจะเป็นแค่การทำสีใหม่ และเนื่องจากการชนลักษณะนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวถังรถ ดังนั้นการชนลักษณะนี้ไม่ทำให้มูลค่าของรถตกลงนักเมื่อขายต่อ และหากใครคิดจะซื้อรถที่เคยเกิดการชนลัษณะนี้มาก็สบายใจได้ว่ารถยังอยู่ในสภาพที่ดี
2. การชนระดับเบา
ได้แก่ การชนโดยใช้ความเร็วร่วมไม่เกิน 20 กม./ชม. การชนลักษณะนี้มักทำให้เกิดการบุบลึกหรือฉีกขาดของชิ้นส่วนของรถได้ อย่างไรก็ตาม จะไม่เกิดความเสียหายกับตัวถังรถเช่นเดียวกับการชนแบบที่ 1
3. การชนระดับปานกลาง
ได้แก่ การชนโดยใช้ความเร็วร่วมไม่เกิน 50 กม./ชม. การชนระดับนี้สร้างความเสียหายกับคานรับแรงกระแทก อ่างยางอะไหล่และตัวถัง การซ่อมแซมจะทำโดยเปลี่ยนอะไหล่ เคาะซ่อมส่วนที่เสียหายหรืออาจมีการตัดต่อบริเวณส่วนที่เสียหายหากไม่สามารถเคาะได้ รถที่ผ่านการชนระดับนี้ยังมีความปลอดภัยในการขับขี่อยู่ แต่ถ้าได้รับการซ่อมแซมโดยช่างที่ไม่ชำนาญก็อาจมีปัญหาจุกจิกได้ เช่น เกิดสนิมภายในหรือมีการรั่วซึม และต้องคำนึงถึงว่าชิ้นส่วนที่เปลี่ยนใหม่อาจไม่ใช่ชิ้นส่วนที่ผลิตออกมาจากโรงงานผู้ผลิตซึ่งอาจทำให้มีปัญหาตามมาภายหลัง
4. การชนหนัก
ได้แก่ การชนโดยใช้ความเร็วร่วมไม่เกิน 80 กม./ชม. ก่อให้เกิดความเสียหายกับคัวถังรถและช่วงล่างของรถ เครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆในห้องเครื่อง การชนระดับนี้ส่งผลต่อโครงสร้างความปลอดภัยของรถ ซึ่งโดยปกติรถที่ผลิตจากโรงงานจะสามารถรองรับการชนระดับนี้ได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นรถที่ผ่านการชนแบบนี้จะมีผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ ดังนั้น หากซ่อมเสร็จแล้วต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าต้องขับอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าชนในระดับนี้อีกครั้ง รถอาจไม่สามารถปกป้องผู้โดยสารจากแรงกระแทกได้ดีเหมือนเดิม
5. การชนหนักมาก
ได้แก่ การชนที่ใช้ความเร็วร่วมเกิน 120 กม./ชม. รถกลายสภาพเป็นซาก
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าการชนตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป อาจทำให้รถมีสภาพที่เสื่อมลง ดังนั้นในการขับรถทุกครั้งควรคำนึงถึงความปลอดภัยและไม่ประมาท เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทั้งกับรถและบุคคลที่ประสบเหตุ และนอกจากนี้ยังต้องเสียเวลานำรถเข้าซ่อม
เหตุผลที่ต้องประเมินความเสียหายก่อนซ่อม
- เพื่อให้คุณทราบ ขอบเขตของงานซ่อม (ชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยน ผสมกับซ่อม)
- ลดโอกาสโดนอู่นำ “รายการซ่อมแอบแฝง” เข้ามาเรียกเก็บในภายหลัง
- ช่วยให้คุณเจรจากับอู่หรือศูนย์บริการได้ดีขึ้น เพราะมีข้อมูลก่อนล่วงหน้า
- ใช้เป็นหลักฐานประกอบการเคลมประกันได้ชัดเจน
- ป้องกันไม่ให้รถกลับไปใช้ด้วยสภาพไม่สมบูรณ์ อันอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย
เมื่อใดควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญประเมิน
- เมื่อโครงสร้างตัวถังมีการเสียหาย เช่น โค้ง เบี้ยว
- เมื่อระบบไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์มีอาการผิดปกติ
- เมื่อมีเสียงหรืออาการสั่นภายหลังซ่อมเบื้องต้น
- เมื่อการซ่อมสี หรือร่องรอยภายในไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา
- เมื่อคุณจะเคลมประกัน ควรให้ผู้ประเมินจากฝ่ายประกันเข้าตรวจด้วย
และหากคุณนำรถเข้าซ่อมแล้วไม่มีรถใช้ระหว่างซ่อม มาเช่ารถกับเราได้นะคะที่ www.summercarrent.com เราเป็นศูนย์ให้เช่ารถระหว่างซ่อมโดยเฉพาะ ราคาไม่แพงและเราบริการด้วยใจค่ะ
ขอขอบคุณที่มา : sabuycar.blogspot.com
สนใจเช่ารถ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 089-770-8822, 02-100-6365, Line ID : @summercarrent
อัตราค่าเช่า เช่ารถราคาถูก
ไปยังหน้าแรก เช่ารถกทม